ฉัตร์ชัย “เจ้าสด”กัปตันทีมมวยสากลสมัครเล่น ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่มาเลเซีย ฉัตร์ชัย ประเดิมสังเวียนไฟต์แรก พบกับ อาฟริอานี่ อาเหม็ด อันชอรี่ นักชกเจ้าถิ่นมาเลเซีย ในมวยสากลสมัครเล่น รอบ 16 คน รุ่น 56 กก. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา
เริ่มยกแรก”เจ้าสด” อาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่า ต่อยเข้าปลายคาง อาฟริอานี่ อาเหม็ด อันชอรี่ ลงไปกองกับพื้นให้กรรมการนับถึง 8 แต่กำปั้นเจ้าถิ่น ลุกขึ้นมาสู้ต่อได้จนครบยก
ยกสอง นักชกชาวไทย ยังชกได้ละเอียด ปล่อยหมัดหนึ่งสองเข้าเป้าสวยๆ หลายครั้ง ยกสุดท้าย “เจ้าสด” ยังเดินหน้าดักหมัดซ้ายเข้าเป้าสวยๆได้หลายหมัด ทำเอานักชกเจ้าถิ่นทำอะไรไม่ถูก
ครบสามยก กรรมการชูมือให้ ฉัตร์ชัย บุตรดี เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนน อาฟริอานี่ อาเหม็ด อันชอรี่ ไปได้แบบเอกฉันท์ ผ่านเข้าสู่รอบ 8 คนสุดท้ายต่อไป
ผลการแข่งขัน มวยสากลสมัครเล่นของนักมวยชาวไทย แบ่งเป็นแต่ละรุ่นดังนี้
52 กก. รอบ 8 คน
ธเนศ องค์จันต๊ะ ชนะคะแนน ฮาง รามอร์น (กัมพูชา)
64 กก. รอบ 16 คน
วุฒิชัย มาสุข ชนะน็อค พัล โสภร (กัมพูชา) ยกที่ 2 (อาร์.เอส.ซี)
75 กก. รอบ 8 คน
ปฐมศักดิ์ ขัตติยะ ชนะคะแนน เมียว คยอ ธู (เมียนมา)
สะท้านฟ้า ส.ประทีปจากอดีตแชมป์ 5 เส้นสู่ร่มพระพุทธศาสนา
สะท้านฟ้า ส.ประทีปจังหวัดอุบลราชธานี นับเป็นเมืองที่ผลิตนักมวยเอกของแผ่นดินรายแล้วรายเล่า จากรุ่นสู่รุ่น จากอดีตถึงปัจจุบัน
สะท้านฟ้า ส.ประทีปโดยหนึ่งในยอดนักชกของอุบลราชธานีที่อยู่ระดับแนวหน้านั้นย่อมมีชื่อของ “ไอ้เป็ด” ด้วยคนหนึ่งอย่างแน่นอน ในฐานะเจ้าของแชมป์ 5 เส้นผู้เกริกไกร
เริ่มหัดมวยกับ อ.วัลลภ เกษเสนา หัวหน้าค่ายเสนาพิทักษ์ แห่งอ.ตระการพืชผล ขึ้นชกครั้งแรกปี 2511 ใช้ชื่อว่า ไพรสะท้าน เสนาพิทักษ์ ประเดิมเอาชนะคู่ชกได้อย่างสวยงาม รับเงินรางวัลค่าตัว 45 บาท จากนั้นชกต่อเนื่องชนะติดต่อกันถึง15 ครั้ง จากนั้นเมื่อเรียนจบก็เดินทางไปอยู่กับ สกล พัฒนประทีป หัวหน้าค่าย ส.ประทีป ที่กรุงเทพฯ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น สะท้านฟ้า ส.ประทีป ขึ้นชกที่เวทีราชดำเนินเป็นประเดิม จากนั้นชกราชดำเนินกับลุมพินีสลับกันไป พร้อมเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยศรีปทุม (ปัจจุบันคือมหาวิยาลัยศรีปทุม) ระดับ ปวส.
เป็นนักมวยที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เชิงเตะฉกรรจ์ ผลงานเอกอุคือการคว้าแชมป์ได้ถึง 5 เส้น ประกอบด้วย รุ่นจูเนียร์เวลเตอร์เวต 140 ปอนด์เวทีราชดำเนินด้วยการ ชนะน็อก ยก3 สรศักดิ์ ส.บุคคโล ปี 2516 จากนั้นขยับไปชิงแชมป์รุ่นใหญ่คว้าแชมป์รุ่นเวลเตอร์เวต 147 ปอนด์ ราชดำเนิน ชนะคะแนน ขุนพล สาครพิทักษ์
เส้นที่ 3 ได้แชมป์มวยสากลรุ่นเวลเตอร์เวตเวทีราชดำนินชนะน็อก มานะ เปรมชัย ยกแรก ไปชิงแชมป์รุ่นมิดเดิลเวต 160 ปอนด์เวทีราชดำเนิน ชนะคะแนน ต้องตา เกียรติวายุภักดิ์ และเส้นสุดท้ายได้แชมป์รุ่นมิดเดิลเวตเวทีลุมพินีชนะ ชิเกริ เคนชิว นักชกญี่ปุ่นในปี 2519
รวมแล้วได้แชมป์มวยไทย 4 เส้น มวยสากล 1 เส้น โดยไม่มีโอกาสได้ป้องกันแชมป์เลย เพราะหาคู่ยากจนต้องถูกปลดจากการเป็นแชมป์ไปเอง สะท้านฟ้ามีโอกาสไปชกต่างแดนไปชกมวยสากลชิงแชมป์ภาคตะวันออกและแฟซิฟิก หรือแชมป์ภาคที่เกาหลี 2 ครั้ง ที่ญี่ปุ่น 2 ครั้ง และที่ฮอลแลนด์ 1 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน เจอกับนักมวยแถวหน้ามาอย่างมากมาย เมื่ออายุมากขึ้น เกิดความอิ่มตัว นำเงินที่ได้จากหยาดเหงื่อหยดเลือดไปซื้อที่ดินที่ตระการพืชผล 100 ไร่พร้อมปลูกบ้านให้พ่อแม่ ซึ่งสะท้านฟ้า หลังเลิกมวยทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มักจะหาเวลาไปออกรอบเล่นกอล์ฟเป็นประจำ
จากนั้นก็ศึกษาต่อจนจบปริญญาคณะศิลปศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีหลังจากเกษียณแล้วเริ่มมีสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง จนเมื่อเกษียณอายุเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา สะท้านฟ้าเริ่มหันหน้าเข้าหารสพระธรรม ตัดสินบวชที่วัดถ้ำแข้ อ.ตระการพืชผล แต่ร่างกายไม่แข็งแรงนัก
พระสะท้านฟ้า กล่าวว่า ตอนนี้อยากขอความช่วยเหลือจากคนวงการมวย เพราะในฐานะที่รับใช้บวรพุทธศาสนาก็อยากจะทำให้ดีที่สุด แต่ติดขัดเรื่องสภาพร่างกาย
เพชรสายฟ้า คะแนนเสมอ ”ตักศิลา” หน 3 ศึกจ้าวมวยไทย
เพชรสายฟ้า ส.จ.วิชิตแปดริ้วเสมอกับ ตักศิลา ช.ห้าพยัคฆ์มาถึง 2 ครั้งก่อนหน้านี้ที่วิกรังสิตครั้งนี้เป็นไฟต์แตกหัก และทั้งคู่ขึ้นมาสาดแข้งเสียบเข่าแลกกันอย่างสนุกสุดมันส์
เพชรสายฟ้า เป็นฝ่ายเดินส่วนตักศิลาเป็นฝ่ายตั้งรับครบยกกรรมการให้เสมอกันไปแบบ สามหนุ่มสามมุม ซึ่งเป็นครั้งแรก 100 ปีวงการมวยที่ชกกัน 3 ครั้งเสมอทั้งหมด
ศึกจ้าวมวยไทย เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา ณ วิกอ้อมน้อย คู่เอก เพชรสายฟ้า ส.จ.วิชิตแปดริ้ว (แดง) พบ ตักศิลา ช.ห้าพยัคฆ์ (น้ำเงิน) พิกัด 142 ปอนด์ ที่เวทีรังสิต หมดยกแรกตักศิลาต่อ 5-4 ยกสอง ทั้งคู่เจอกันมาจนจำกลิ่นตัวได้แล้ว ออกมายกนี้ต่างระมัดระวัง สาดแข้งทักทายกันประปราย มีวงในเสียบเข่าวัดความแกร่งกันเล็กน้อย หมดยกสองตักศิลาต่อ 10-9
ยกสาม เพชรสายเป็นฝ่ายเดิน ตักศิลาก็ไม่หนีไปไหน ปักหลักไล่แขนเสียบเข่าสู้ ต่างคนต่างทำได้ดี เพชรสายฟ้ามีศอกขวางงัดตลอด ปลายยกตักศิลาเตะซ้ายได้สวย แต่โดนเพชรสายฟ้าเกี่ยวเตะตัดล่างล้มลงไป หมดยกสามตักศิลาต่อ 3-2
ยกสี่ เพชรสายฟ้ายังคงเดินปล้ำในเสียบเข่า ตักศิลาได้เหลี่ยมหักเพชรสายฟ้าล้มลงไป ก่อนจะมาเสียบเข่าโชว์ความแกร่งได้อีกชุด หมดยกสี่ตักศิลาต่อ 15-1 เซียนโห่ราคาจนลดเหลือแค่ 3-1
ยกสุดท้าย เพชรสายฟ้าลุยแหลกปล้ำตีเข่าหักเหลี่ยมตักศิลาล้มลงไป จากนั้นเพชรสายฟ้าก็เดินเข้าไปสาดแข้งอีกชุด ขณะที่ตักศิลาก็โต้แข้งคืนได้ดี จากนั้นต่างคนต่างมั่นใจ ไม่เข้าแล้ว ราคาอยู่ที่ตักศิลาต่อ 7-4 แต่ตามสายตาคู่คี่มาก ปลายยกเพชรสายฟ้าตัดสินใจเดินปล้ำในเสียบเข่าอีกชุดได้เฮ ราคาพลิกกลับมาได้เปรียบ ครบยกราคาปั่นป่วน เสมอไหนเสมอกัน
กรรมการรวมคะแนนให้ทั้งคู่เสมอกันไปอีกครั้งแบบสุดมันส์ด้วยคะแนน 3 หนุ่ม 3 มุม โดยกรรมการ อัษฎาวุธ พิลาวรรณ ให้ 48-49, กรรมการ ทินกร ณ พัทลุง ให้ 48-48 และ กรรมการ ธันวุธ รังรองอนุสรณ์ ให้ 49-48
”หมัดหนักผีพราย” ปราบธรณี นักมวยแดนสุรินทร์
”หมัดหนักผีพราย” ปราบธรณี นักมวยแดนสุรินทร์ ผู้ที่ปิดทองหลังพระผลักดันกฎหมายมวย
สำหรับ “หมัดผีพราย” ปราบธรณี เมืองสุรินทร์ เกิดเมื่อ วันที่ 11 ธ.ค. พ.ศ. 2482 ที่จังหวัดสุรินทร์มี ชื่อจริงว่า “พูนสวัสดิ์ มูลศาสตรสาทร” ปัจจุบันอายุ 76 ปี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนบุตรทั้งหมด 9 คน ของขุนมูลศาสตร์สาทร (พงษ์ มูลศาสตรสาทร) กับนางผกา มูลศาสตรสาทร เป็นน้องชายแท้ๆ ของนายพิศาล มูลศาสตรสาทร อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการในหลายกระทรวง
เริ่มชื่นชอบกีฬาการต่อสู้โดยเฉพาะมวยไทยตามพี่ชาย พิศาล มูลศาตร์สาทร เริ่มชกอยู่แถวอีสานใต้ ตั้งแต่อายุ 17 ปี เมื่อปี 2500 จนกระปี 2501 ได้เข้ามาเรียนหนังสือต่อในกรุงเทพมหานคร พร้อมกับชกมวยไปด้วยในชื่อว่า “ปราบธรณี เทิดเกียรติพิทักษ์” ครั้งหนึ่งได้รับการติดต่อให้ไปชกในงานประจำปีวัดหลวงพ่ออี๋ที่สัตหีบกับแชมป์กองทัพเรือ ก็มีปางพิสดารขึ้นอีกเพียงเริ่มประหมัดกันยกแรก ชกไปแค่ 3 หมัด โดยเฉพาะหมัดขวาสุดท้ายส่งให้ร่วงลงไปเอาชนะน็อกได้อย่างง่ายดาย จนชื่อเสียงโด่งดังหลังจากที่ นสพ.เสียงอ่างทองที่มี ป้อม ปรากาฬ เป็นหัวหน้าข่าวกีฬาได้นำไปลงพาดหัวข่าวพร้อมกับตั้งฉายาให้ว่า “หมัดผีพราย”
ใน ไฟต์ที่ประทับใจมากที่สุดเท่าที่ชกมวยมานั้นเป็นไฟต์ที่ได้ พบกับ “พระเอกลิเก” ศักดิ์น้อย เจริญเมือง แชมป์รุ่นแบนตั้มเวต กับ เฟเธอร์เวต ของสองเวที ราชดำเนิน กับ ลุมพินี ซึ่งชกกันได้อย่างสูสีคู่คี่ดุเดือดมากก่อนที่จะ ตะบันหมัดขาวส่งให้ ศักดิ์น้อยร่วงลงไปเป็นฝ่ายเอาชนะน็อกไปได้ยกที่ 3 หลังจากผ่านสังเวียนมาอย่างโชกโชนจนถึงจุดอิ่มตัวเนื่องจากเรียนจบ ม.8 แล้วพร้อมกับเข้าทำงานที่องค์การโทรศัพท์ แต่ก็ชกมวยไปด้วยจนอายุได้ 29 ปี จึงได้ตัดสินใจแขวนนวมเนื่องจากว่ากรำศึกมานานหวั่นใจว่าถ้าชกต่อจะเป็นโรคเมาหมัด
พูนสวัสดิ์ ยังได้ฝากเคล็ดลับความสำเร็จในการชกมวยที่ผ่านมาว่า ใจต้องกล้าไม่กลัวเจ็บก่อนขึ้นชกต้องมีความพร้อมขั้นต่ำ 80 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังได้กล่าวถึง มวยไทยในปัจจุบันว่า เปลี่ยนไป ไม่มีแม้ไม้มวยไทยหมัดเท้าเข่าศอก ทำให้เสน่ห์มวยไทยหายไปมีแต่ปล้ำตีถ้าเป็นไปได้อยากให้มีการเน้นแม้ไม้มวยไทยมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกีฬาการต่อสู้ของชาติอื่น
ไฟป่าโชว์เก๋าดับ’ตระกูลเสือ’ศึกจ้าวมวยไทย
ศึกจ้าวมวยไทย เมื่อวันเสาร์ที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา มวยคู่เอกขึ้นชก ไฟป่า ส.ณรงค์ฤทธิ์ พบกับ ตระกูลเสือ ศิษย์ซ้ออึ่ง ในพิกัดชก 145 ปอนด์ เรตเปิดไฟป่าต่อก่อน 2-1 กรรมการผู้ห้ามบนเวที พิจิตร พรหมคง หมดเวลาในยกแรกไฟป่าต่อ 5-2
ยกสอง ไฟป่าออกมาได้ก็ต่อยหมัดเตะขวาขู่ ตระกูลเสือก็สวนกับเตะขวาเสียบเข่ามีเถียงต่อยหมัดสู้ไป ไฟป่าเตะขวาต่อยหมัดออกมาอย่างเนื้อๆเน้นๆ หมดยกสอง ไฟป่าต่อไป 3-1 ยกสามไฟป่าไม่รอช้าเดินหาต่อยหมัดเตะขวา ตระกูลเสือใช้ความได้เปรีบยในความใหญ่และยาวให้เป็นประโยชน์แย็บๆเข้าใส่ แล้วตามด้วยเตะขวามีเสียบแบบเน้นๆ จากนั้นก็หนีออกมาคอยบังคอยโต้แย็บปั่นทำลายจังหวะ ตระกูลเสือเข้าปล้ำไม่ได้เลยชักจะลำบากมากขึ้น หมดยกสาม ไฟป่าต่อปถึง 15-1
ยกสี่ ตระกูลเสือยังไม่คิดที่จะถอยปล้ำเข่า หวังที่จะใช้ความใหญ่ให้เกิดประโยชน์แต่ไฟป่าเก๋ากว่าเกี่ยวขาแทงเข่าเข้าไปแล้วตามด้วยแย็บมีถีบมีแทง แต่ดันไปโดนแทงเข้าหลายดอกรับมากเกินไปไม่ดี ไฟป่ามีหมัดเอาไว้ โดนทั้งหมัดทั้งศอกไปตระกูลเสือเริ่มฝ่อเดินช้าลงคิดช้า ไฟป่าจึงคุมเกมไว้ได้หมด หมดยกสี่ไฟป่าต่อขาดลอยร้อยละบาท ยกสุดท้าย ตระกูลเสือสาดใส่ต่อยหมัดมีเสียวบ้างช่วงต้นยกก่อนจะท้อแท้ลงไปเอง ไฟป่าได้คุมเกมไว้หมด ครบยกไฟป่าชนะคะแนนไปอย่างขาดลอย 50-47 จากจากกรรมการ ธันวุธ รังรองอนุสรณ์,อัษฏาวุธ พิลาวรรณ และ 49-47 จากกรรมการ ธนาชัย จำนง